28 ก.ค. 2555

Batman Begins #1 : การต่อสู้ทางปรัชญาที่เอาคุณค่ามนุษย์เป็นเดิมพัน





ปรัชญาของสิ่งที่เรียกว่า "มนุษย์"
"การเมือง" เป็นผลิตผลจาก "มนุษย์" เรามองมนุษย์อย่างไร เราก็จะได้การเมืองแบบนั้น เพราะ "ปรัชญามนุษย์" เป็นตัวกำหนด "โครงสร้างการจัดการทางสังคม" นั่นเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้
การปะทะกันระหว่างขั้ว 2 ขั้ว ที่ต่อสู้กันอย่างยาวนานตลอดไตรภาค จึงมีแก่นคิดเพียงข้อเดียวที่ว่า.......เราจักมอง "มนุษย์" เช่นไร ?



ราซ อัลกูล : การจัดการมนุษย์ต้องไร้อคติ ความเมตตาเป็นภาพลวงสู่ความมืดบอด
League Of Shadows สถาบันที่ควบคุมโลกอย่างเป็นธรรม ตั้งตนเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม มองโลกอย่างไร้อคติ มีแนวคิดว่ามนุษย์ง่ายต่อการร่วงหล่น ต่อความเสื่อม การเข้าทำลายสังคมที่กำลังถึงจุดฟอนเฟะมีประสิทธิภาพมากกว่าปล่อยไว้อย่างไร้การควบคุม เพราะหากเมืองเหล่านั้นไม่ถูกทำลาย ความเสื่อมจะค่อยๆขยับขยายไปทั่วทุกพื้นทวีป และนั่นแหละ ฝันร้ายที่แท้จริง...

รากของแนวคิดนี้คือ “การรวมศูนย์” มอบความสามารถในการจัดการสังคมต่อผู้รู้ไม่กี่คน (ปัจเจก) ผู้จัดการต่อส่วนรวม ข้อแม้คือ คนที่เป็นผู้นำต้องบริบูรณ์ในตัว ไร้ความเสื่อมถอย ไร้ความเห็นผิดโดยสิ้นเชิง จัดการอย่างทุกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะหากผู้นำขาดเสถียรภาพ สังคมทั้งหมดก็พังทลายตามผู้นำเช่นเดียวกัน

แบทแมน : มนุษย์มีความดี มนุษย์พัฒนาได้ (หากพวกเขารู้ว่ามี "ความดี" หลงเหลืออยู่)
แม้ถึงช่วงเวลาที่มืดที่สุดของชีวิต บรูซ เวยน์ วันที่พ่อแม่จากไปด้วยภัยของอาชญากร ถึงกระนั้นก็ยังมีเจ้าหน้าที่จิม กอร์ดอน เจ้าหน้าที่ตัวเล็กๆ ในองค์กรรักษากฎหมาย และ ราเชล ดอวส์ ดำรงอยู่ ภาพตัวแทนของแสงสว่างเล็กๆ ที่ทำให้เขารู้ว่า โลกนี้ยังไม่ดำมืดจนเกินไปที่จะเปลี่ยนแปลง มนุษย์แก้ไขได้ หากพวกเขารู้ว่ายังมี "ความดี" เข้าข้างพวกเขา "ความดี" ที่ต่อมากลายมาเป็น "สถาบัน"

ผลผลิตของแนวคิดนี้คือ “การกระจาย” มนุษย์มีความสามารถในการจัดการสังคมด้วยตัวพวกเขาเอง กฎระเบียบจักศักดิ์สิทธิ์ก็ต่อเมื่อ มันถูกสร้างมาจากมติของพวกเขา
ข้อแม้คือ คุณภาพในตัวบุคคลต้องมีอยู่สูงในระดับปัจเจก เมื่อระดับปัจเจกดี สังคมโดยรวมจึงดีตาม มิเช่นนั้น หากความมืดบอดทางปัญญาเกิดขึ้นทั่วทุกหย่อมหญ้าแล้ว สังคมนั้นๆ อาจพากันก้าวลงเหวได้เหมือนกัน



ตำนานล้วนเริ่มจากก้าวแรก
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวมิได้อยู่ในยุคปัจจุบัน หากแต่อยู่ใน ระบบศักดินาในยุคกลาง อันมีนามว่า "ก็อธแธม ซิตี้" (Gottham City) ที่ซึ่ง โทมัส เวย์น เปรียบเสมือนดยุคแห่งนคร

เวย์น เอ็นเตอร์ไพรซ์ (Wayne Enterprises) ภาพตัวแทนบรรษัท คือศูนย์กลางของอาณาจักร เขาปกครองด้วยเมตตาธรรม คืนความเจริญกลับสู่สังคม ทั้งระบบขนส่ง น้ำ ไฟ บริษัทเกื้อกูลประชาชน ประชาชนเกื้อกูลบริษัท ไม่ต่างรูปแบบการปกครองของอังกฤษในยุคกลาง (กรณีเจ้านครยึดมั่นในความดี รักความยุติธรรม) ปราสาทเวยน์เอง อัลเฟร็ด ตัวแทนของปราชญ์ประจำสำนัก หรือกิจการประเภทผูกขาดอยู่กับวงตระกูล (บริษัทจำกัด ยังไม่ใช่มหาชน) สัญญะที่หนังใส่เข้าไป ไม่สามารถหนีไปเป็นอื่น

ปัญหาเดียวของการปกครองรูปแบบนี้คือ "ความเจริญ" ของสังคมหรือยุคสมัยจะผูกอยู่กับ "ตัวบุคคลหรือเจ้านคร" เมื่อถึงยุคเปลี่ยนผ่าน ความผกผันของเมืองก็แปรเปลี่ยนไปตามครรลอง

....และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อ โทมัสและมาธา เวย์นถูกฆาตกรรมโดยอาชญากรตัวเล็กๆ เมืองทั้งเมืองก็พังทลาย...

ความชั่วผงาด อาชญากรแผ่ขยายทุกหย่อมหญ้า และ เด็กชายนาม บรูซ เวย์น ก็แสนเจ็บปวด เจ้านครอันเปี่ยมคุณธรรมตายเพราะความกลัวของเขา คุณธรรมของเมืองของสูญสลายไปพร้อมกันความผิดบาปในใจก่อตัวขยายไกลออกไป...ไร้การควบคุม



ร่วงหล่น (The Fall)
"เวตาล (Vetala) " (ฮินดู,รากศัพท์เดียวกับ Villain ความหมาย : ตัวโกง, ค้างคาวผี, ผีตามสุสาน, ความชั่วร้าย) สัญญะแทนความกลัว,

วันหนึ่งโอรสน้อยเผลอพลัดตกลงสู่โลกที่เขาไม่รู้จัก โลกแห่งความกลัว (Fear) ความกลัวนั้นแผ่ขยายจนกลายเป็นฝันร้ายที่คอยกัดกินชีวิต สถานการณ์เลวร้ายถึงขีดสุด เมื่อท้ายสุดความกลัวขยับขยายลายมาเป็นความผิดบาป (Guilt)

ค่ำคืนนั้น เขาไม่สามารถทนดูโอเปร่าอันเต็มไปด้วยภาพตัวแทนแห่งความกลัวได้ จึงขอให้พ่อแม่ปลีกตัวออกมากลางคัน ซึ่งสุดท้าย ก็ต้องกลายมาเป็นจุดจบของทั้งสอง...ความกลัวเหล่านั้นเอง ที่ทำให้พ่อแม่ต้องมาตาย ความผิดบาป ประทับรากฝังลึก

คำสั่งเสียสุดท้ายของพ่อ คือ..........."บรูซ จงอย่างกลัว"

ภายในใจ ตัวเขาเปรียบเสมือนคนที่ฆ่าพ่อแม่ด้วยน้ำมือ เครื่องมือที่เรียกว่า "ความกลัว"
"Motive" หรือ "แรงจูงใจ" หลักของตัวละครศูนย์กลางนามว่า บรูซ เวย์น จึงกลายเป็นขุมพลังหลักที่ผลักดันภาวะทางจิตใจที่ส่งผลสู่ ทุกๆ การตัดสินใจ ในทุกๆ การกระทำ และในทุกๆ ด้าน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น.... "การเอาชนะความกลัว" ....เพราะหากชนะได้ ก็เท่ากับ สามารถลบล้าง "ความผิดในใจ" ได้เช่นเดียวกัน (ชำระบาป)


โอรสก้าวลงบัลลังก์
บรูซ เดินทางกลับมาจากพรินซ์ตัน เพื่อฟังคำพิพากษาชิล โจรผู้ฆาตกรรมพ่อแม่
แต่เขาก็ต้องเจ็บแค้นใจ เมื่อรู้ว่าโจรผู้นั้นได้รับทัณฑ์บนให้ถูกปล่อยตัวเนื่องจากแลกได้กับคำให้การต่อศาล ว่าใครเป็นหัวหน้าแก็งค์อาชญากร (คาร์มีน ฟัลโคนี่)
...
...
หลังจากชิลได้รับการปล่อยตัวไม่ทันไร เขาก็ถูกฆ่าโดยฟัลโคนี่โทษฐานที่แฉคำให้การนั้น
โจรไม่ได้รับโทษด้วยระบบยุติธรรม หากแต่ได้รับโทษจากหัวหน้าแก็งอาชญากรแทนเสีย
ความยุติธรรมในสังคม....ไม่เคยมีอยู่จริง

บรูซ ตัดสินใจก้าวเข้าไปในรังของฟัลโคนี่ เพื่อแสดงตัวว่า ไม่ใช่ทุกคนที่กลัวเหล่าอาชญากร (อำนาจนอกระบบ)
ฟัลโคนี่บอกเขาว่า ที่นายไม่กลัว เพราะขณะนี้นายคิดว่านายไม่มีอะไรจะเสีย แต่เปล่าเลย คนอย่างบรูซ เวย์น ผู้ที่ต้องเดินทางหลายพันไมล์กว่าจะเจอคนที่ไม่รู้จักนั้น มีอะไรให้สูญเสียเต็มไปหมด ดังนั้นจงอย่าพยายามทำความเข้าใจกับโลกที่นายไม่มีวันเข้าใจ...โลกแห่งความหวาดกลัว โลกที่มีแต่ความสูญเสียและสิ้นหวัง

เมื่อนั้น บรูซ เวย์นจึงรู้เส้นทางที่เขาควรไป....การก้าวลงจากบัลลังก์ ลงจากความมั่นคง สู่โลกเบื้องล่าง ทำความรู้จักทุกแง่มุม ความอดอยาก ความกลัว ความรู้สึกผิด ความไร้ทางสู้...เผชิญหน้าสู่โลกแห่งอาชญากรรม...เพราะเมื่อเข้าใจ ก็ย่อมเห็นวิธีการจัดการ ต่อกร ต่ออำนาจนอกระบบ เพื่อสร้างระบบที่ดำรงความยุติธรรมที่แท้จริงให้บังเกิด


แม้แต่สัตว์ที่น่ากลัวที่สุดก็ยังมี...ความกลัว
ขณะที่เด็กชายบรูซ เวย์นตื่นขึ้นจากฝันร้าย ภาพฝันเต็มไปด้วยค้างคาว พ่อเดินเข้ามาหา ถามเขาว่า
“ลูกรู้ใช่ไหมว่าทำไมพวกมันถึงเข้ามาทำร้าย...เพราะพวกมันกลัวลูก”
“กลัวผมหรือ ?”
“สัตว์ทุกตัวมีความกลัว”
“แม้แต่ที่น่ากลัวหรือฮะ ?”
“โดยเฉพาะพวกที่น่ากลัว”

แม้แต่อาชญากรที่อันตรายที่สุด ก็ยังมีความกลัว กลัวไร้ซึ่งอำนาจ กลัวความตาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดกลัวสิ่งที่จับต้องไม่ได้ สิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่เป็นเพียงแค่....เงา




สถาบันพันธมิตรแห่งเงา
League Of Shadows สถาบันที่สถาปนาตนเปรียบดั่งพระเจ้าผู้ควบคุมโลก มองโลกอย่างเป็นธรรม ขัดเกลาสิ่งที่ด่างพร้อยในตัวมนุษย์
ละทิ้งความกลัว.....เพื่อกลายมาเป็นความกลัว
ละทิ้งตัวตน.....เพื่อกลายมาเป็นสถาบัน

“แล้วราซ อัลกูลมีเส้นทางอะไรให้ผม ?”
“ทางเดินสำหรับผู้ร่วมอุดมการณ์ที่เกลียดชังความชั่ว และต้องการเห็นความยุติธรรมที่แท้จริง...ทางเดินพันธมิตรแห่งเงา”
“พวกคุณเป็นศาลเตี้ย”
“ศาลเตี้ย เป็นพวกที่หลงในวังวนการตัดสินของตัวเอง ถูกล้มล้างได้ ถูกคุมขังได้ แต่ถ้าคุณทำตัวให้เหนือมนุษย์ ถ้าคุณทุ่มเทให้กับอุดมการณ์ และถ้าพวกเขาหยุดคุณไม่ได้ คุณจะกลายเป็นอย่างอื่นโดยสิ้นเชิง”
“นั่นคือ”
“ตำนาน...คุณเวย์น”

ราซ อัล กูล หัวหน้าของสถาบันผู้ได้รับการสืบทอดหน้าที่มาจากรุ่นสู่รุ่น ขัดเกลาบรูซ เวย์น ชายผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความอยุติธรรม อาชญากรรม ความเสื่อมในสังคม เพื่อกลายมาเป็นศิษย์เอก เป็นหัวหน้าของเหล่าทหารเงา สายลับ 2 หน้า นำเหล่าทัพบุกทำลายก็อธแธมจากภายในให้ย่อยยับเป็นจุล


สำนักเดียวกันแต่ต่างอุดมการณ์
“ความยุติธรรม” เป็นแก่นหลักอันสูงสุดที่ทั้งสองไขว่คว้า....แต่ “วิธีการ” นั้นที่แตกต่าง “วิธีการ” ...ที่ขึ้นอยู่กับการมอง “คุณค่า” ของตัวมนุษย์

มนุษย์เป็นสิ่งตกสู่ความเสื่อมเสมอ และนั่นเป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้...........วิธีการ ล้มกระดาน ทำลายทุกอย่าง เพื่อสิ่งใหม่ที่ดีกว่าจักเริ่มขึ้นใหม่

มนุษย์เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ ปรับปรุงได้...........วิธีการ สร้างสถาบันความดี ความดีที่ทำลายไม่ได้ สร้างกฎระเบียบใหม่ (ด้วยตัวของพวกเขา ด้วยประชามติ) เพื่อจำกัดอำนาจของความชั่ว



ทดสอบอุดมการณ์
จุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ทั้งสอง เกิดขึ้นเพราะราซ อัลกูล กดดันบรูซอย่างหนัก เพื่อวัดความเชื่อในอุดมการณ์ของตัวบรูซ....จุดที่ไม่สามารถหันหลังกลับ

การประหารชาวนาพยายามยึดนาเพื่อนบ้านแล้วกลายมเป็นฆาตกร การประหารเพื่อทำลายการงอกเงยของความชั่วร้าย การตัดสินด้วยคนระดับปัจเจก หาใช่สังคมส่วนรวม เป็นสิ่งที่บรูซยอมรับไม่ได้ เมื่อเขาถูกบีบให้ทำลายอุดมการณ์ที่เขาเชื่อ บวกกับมารู้ความจริงที่ว่าตัวเขาจะเป็นทัพหน้าผู้บุกทำลายก็อธแธม....เมืองของเขา

บทสนทนาระหว่างราซ กับ บรูซ
“ความสงสารเป็นจุดอ่อนที่ศัตรูของคุณจะไม่รับรู้”
“มันจึงสำคัญอย่างยิ่ง มันแบ่งแยกเราจากพวกมัน”
“คุณต้องการสู้กับอาชญากร เขาเป็นฆาตกร”
“ชายคนนี้ควรถูกพิจารณาคดี”
“โดยใคร...เจ้าหน้าที่โกงกินรึ”

บรูซเชื่อในคุณค่าความดีของมนุษย์ เชื่อในการตัดสินร่วมกันของสังคม
สิ่งนี้เองที่แบ่งแยก ตัวเขาออกจากอันธพาลหรือศาลเตี้ย
แบ่งแยกออกจาก อาชญากร เพื่อกลายเป็น ผู้ผดุงธรรม

การทำลายสถาบันแห่งเงาจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปราสาทเผาไหม้ ถูกทำลายเป็นจุล
แต่สุดท้ายเขาก็ช่วยชีวิตอาจารย์ไว้...ด้วยความเมตตา บุคคลที่อย่างน้อยก็กระทำด้วยเจตนาอันดี



สร้าง “ความดี” ให้กลายเป็น “สถาบัน”
เมื่อ บรูซ กลับมายังก็อธแธมด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เขาเห็นช่องทางในการรื้อฟื้น “ความดี” ของเมืองที่ใกล้ล่มสลาย ให้กลับมางอกเงยขึ้นอีกครั้ง
ความดีที่ถูกทำให้กลายเป็นสถาบัน
ความดีที่เป็นขั้วตรงข้ามกับสถาบันพันธมิตรแห่งเงา
ความดีที่จะต้องไม่ผูกโยงเข้ากับตัวบุคคล ซึ่งถูกทำลายได้
ความดีที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์...
ความดีที่จะอยู่คู่กับก็อธแธมตลอดไป...



หากจักต่อสู้กับความกลัว...จงกลายเป็นความกลัว
ความกลัวที่ถูกพัฒนาจนกลายเป็นความผิดบาปในวัยเด็ก ความกลัวที่ทำให้พ่อแม่เขาตาย
ถูกหลอมรวมกับตัวตน....อยู่ร่วมกับมันเป็นหนึ่ง

ละทิ้งความกลัว เพื่อกลายเป็นความกลัว
ละทิ้งตัวตนด้านหนึ่ง เพื่อกลายมาเป็นสถาบัน
แบทแมน...ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว



ค้นหาพันธมิตร
ถึงแบทแมนจะเรียนรู้วิธีการสร้างความกลัวแก่อาชญากร แต่การจะเข้าถึงตัวอาชญากรเป็นสิ่งที่ยาก การเสริมอำนาจทั้งทางด้านความรู้ อำนาจด้านระบบยุติธรรม และสรรพาวุธ เพื่อสร้างรากฐานใหม่ของสังคมจึงเริ่มขึ้น

พันธมิตรที่ 1 : ผู้รักษากฎหมาย
ในสังคมที่กำลังเน่าเฟะ ระบบกฎหมายพิกลพิการ สารวัตร จิม กอร์ดอน เองก็ไม่ต่างกับแกะขาวในฝูงแกะดำ สร้างความหวาดผวาแก่ตำรวจนายอื่นๆ ว่าสักวันเขาอาจเป็นผู้แทงข้างหลังใครก็ได้

# กอร์ดอน คุยกับแฟลสหลังจากไปไถตังค์ชาวบ้านเขามา
“นายคงไม่อยากได้ส่วนแบ่งใช่ไหม...ฉันแค่เสนอไปเรื่อยๆ คิดว่าสักวันนายอาจฉลาดขึ้น”
“ที่นายทำน่ะ ไม่ฉลาดหรอก แฟลส”
“นี่จิมโบ้ พวกเราต้องนั่งผวาเพราะนายไม่รับ”
“ฉันไม่ปากโป้งหรอก...ในเมืองแบบนี้ จะไปปากโป้งกับใครได้”
“(หัวเราะ)”

แบทแมนเข้าถึงตัว เพื่อต้องการล้วงข้อมูลว่า จะมีวิธีใดเพื่อกำจัดฟัลโคนี่
กอร์ดอน เผย ผู้พิพากษา เฟย์เดน ผู้พิพากษาที่ยังขาวสะอาด กับอัยการที่กล้าดำเนินคดีโดยไม่กลัวภัยคุกคาม

พันธมิตรที่ 2 : ระบบกฎหมาย
ราเชลล์ ดอวส์ เพื่อนสมัยเด็ก เปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของระบบกฎหมาย ผู้ที่ยังเชื่อในความดี และเป็นกำลังใจต่อมุมมองด้านคุณค่าอันดีงามของมนุษย์ ต่อตัวบรูซ

พันธมิตรที่ 3 : Q
หากใครเคยได้อ่านบทสัมภาษณ์ของคริส โนแลนด์ ก็จะพบว่า James Bond มีอิทธิพลต่อความคิดเขามากเพียงใด นี่เองจึงเปรียบเสมือน DNA แรกของ 007 ที่มีอยู่ในภายนตร์ปฐมบท Batman รวมถึงสายลับ 2 หน้าของตัวตนบรูซ ที่วางตัวเป็นไฮโซเจ้าเสน่ห์ ชอบคลอเคล้ากับเลขาหน้าห้อง (มันนี่เพ็นนี)

ลูเชียส ฟ็อก คือบุคคลที่เคยทำงานร่วมกับพ่อ ผู้ที่ยังดำรงคุณธรรมในภาคธุรกิจและกลุ่มทุน ผู้ที่สามารถเป็นตัวแทนของอำนาจทางสรรพวุธ และยังกุมความลับเชิงสถานะตัวตนของบรูซไม่ให้รั่วไหล ไม่ทำลายคุณค่าเชิงสถาบันในตัวแบทแมน

ทั้ง 3 พันธมิตร จะเป็นตัวเสริมอำนาจของแบทแมน - สถาบันของความดี พร้อมๆ กับที่แบทแมนก็เสริมคุณค่าของระบบกฎหมาย ระบบคุณธรรมทางธุรกิจไปพร้อมๆ กัน การรื้อฟื้นคุณค่าความดีในสังคมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว



เครื่องมือที่ใช้ “สร้าง” ก็เป็นเครื่องมือที่ใช้ “ทำลาย” ได้ด้วยเช่นกัน

เครื่องมือที่เรียกว่า “ความกลัว”
“ความกลัว” เปรียบเสมือนเครื่องมือที่แบทแมนใช้ในการควบคุมอาชญากร ลดพื้นที่ทางความชั่ว เพื่อเพิ่มพื้นที่ทางความดีให้เบ่งบาน แต่ความกลัวนี้เองที่อาชญากรก็สามารถหยิบมาใช้สำหรับทำลายคุณค่าความดี หากใช้ในปริมาณมาก ไร้การควบคุม ได้เช่นเดียวกัน

ตัวร้ายที่ 1 : ผู้เชี่ยวความกลัว
Dr. Jonathan Crane หรือ Scarecrow ชายผู้หลงใหลในความกลัว ศึกษาวิถีแห่งความกลัวจนช่ำชอง มีเครื่องมือคือสารสกัดจากดอกไม้สีน้ำเงิน ที่ซึ่งช่วยให้บรูซสามารถเผชิญหน้ากับความกลัว รู้จักตัวตน แต่หากใช้ในปริมาณมาก พร้อมกันทุกคน ก็สามารถทำลายทั้งสังคมได้

ความกลัวเป็นเพียงแค่ “เครื่องมือ” คุณค่าและผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับผู้ที่ใช้มัน

ประเด็นทางศีลธรรมต่อการใช้เครื่องมือทั้งทางด้าน เทคโนโลยี และ ทุน ได้ถูกแผ้วทางไว้ตั้งแต่ภาคแรก รวมทั้งอีกตลอด 2 ภาคที่เหลือ

ศีลธรรมทางเทคโนโลยี ที่ 1 : ไมโครเวฟ
กลุ่มบริษัท Wayne Enterprise ผู้ผลิตยุทธภัณฑ์ทางทหาร ผู้มอบสรรพาวุธแก่แบทแมนเพื่อในการปราบปรามอาชญากร อีกทั้งยังเป็นผู้มอบอาวุธสังหาร สำหรับใช้ล้มสังคมชาวก็อธแธมอีกด้วยเช่นกัน

ทั้ง “ความกลัว” และ “เทคโนโลยี” ต่างเป็นเหรียญ 2 ด้านที่ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับเจตจำนงของผู้ใช้มัน

วิถีทำลายแห่งราซ อัลกูล
ในเมื่อ ราซ อัลกูลเชื่อว่า มนุษย์ง่ายต่อการร่วงหล่น ง่ายต่อการตกสู่ที่ต่ำ วิถีการทำลายก็ง่ายเพียงนิดเดียว นั่นคือการกระตุ้นความกลัวขึ้นภายในจิตใจ เมื่อเกิดความกลัว ทุกคนก็ต่างมีความชอบธรรมในการเข้าประหัตประหาร เมื่อนั้นการทำลายสังคมจากใจกลางจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็น

Scarecrow ผู้เชี่ยวความกลัว จึงเปรียบดั่งลูกมือของราซ เพื่อให้ภารกิจนี้บรรลุผล



หากแต่สุดท้าย พวกเขาก็ยังลืมไปว่า ณ นครแห่งนี้ ยังคงมีเทพเจ้าแห่งความดีคอยปกป้องคุณค่าความเป็นมนุษย์ไว้ พร้อมด้วยเหล่าผองพันธมิตร...ที่ซึ่งสุดท้าย พวกเขาก็ประสบผลสำเร็จ

จิม กอร์ดอน ระเบิดสะพาน
ลูเชียส ฟ็อก สร้างเซลุ่มต้านพิษ
อัยการเขต ราเชลล์ ดอวส์ นำฟัลโคนี่ ขึ้นสู่ชั้นพิพากษา
แบทแมน เปรียบดั่งเทพเจ้าผู้ปกป้องเมือง ไร้ตัวตน ไร้การมองเห็น เหล่าอาชญากรเริ่มหดหาย



สถาบันหนึ่งล้ม สถาบันหนึ่งถือกำเนิด
ฉากสะพานรถไฟถล่ม เป็นฉากที่สะท้อนการล่มสลายของสถาบันได้ดี แบทแมนเลื่อกที่จะไม่ฆ่าราซ อัลกูล ซึ่งถือเป็นตัวบุคคล (อุดมการณ์ของแบทแมนเลือกที่จะไม่ฆ่าใคร เพราะถือว่ามนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียม มีความดีในตน) หากแต่ก็ไม่ช่วยเหลือ ในนามของตัวสถาบัน....สถาบันที่เชื่อในความต่ำทรามของมนุษย์ อันขัดแย้งกับสถาบันที่เขาเชื่อ และได้สร้างมาโดยสิ้นเชิง
บัดนี้สถาบันหนึ่งได้ล้มจาก สถาบันหนึ่งถือผงาด....



ยุคเปลี่ยนผ่าน
คฤหาสเวย์น ถูกเผาทำลาย พร้อมกับกลุ่มบริษัทเวย์นถูกโยกเข้าตลาดหลักทรัพย์กลายเป็นบริษัทมหาชน นครก็อธแธมก้าวเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ยุคที่คืนอำนาจกลับคืนสู่มวลชน ทั้งด้านทุน การปกครอง ทุกๆ ด้านที่เชื่อในการความดีของมนุษย์ ทุกๆ ด้านที่เชื่อในการตัดสินของส่วนรวม....ยุคสมัยของแบทแมนถือกำเนิด




รางวัลของมนุษย์ธรรมดา
บรูซ กำลังตอกตะปูปิดปากหลุมบ่อน้ำที่เขาเคยร่วงหล่น ขณะนั้นเรเชล ก็เดินเข้ามา
“ผมขอโทษที่ไม่ได้บอกคุณ” (ว่าเป็นแบทแมน)
“ไม่บรูซ...ฉันเองต้องขอโทษ วันที่ชิลตายฉันพูดไม่ดีกับคุณ” (ด่าบรูซที่พยายามจะใช้วิธีนอกกฎหมายในการแก้แค้นให้กับพ่อ)
“แต่นั่นคือเรื่องจริง...ผมเป็นไอ้ขี้ขลาดที่ถือปืน และความยุติธรรมเป็นมากกว่าการแก้แค้น...ขอบคุณนะ”
“ฉันไม่เคยหยุดคิดเรื่องคุณ...เรื่องของเรา ตอนที่ได้ยินว่าคุณกลับมา ฉันเริ่มตั้งความหวัง...แต่แล้วฉันก็ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับชายหลังหน้ากาก”
“แบทแมนเป็นแค่สัญลักษณ์ เรเชล”
“ไม่...มันคือหน้ากากของคุณ ใบหน้าจริงของคุณคือใบหน้าที่พวกอาชญากรกลัว ผู้ชายคนที่ฉันรัก คนที่หายตัวไป เขาไม่เคยกลับมาอีกเลย แต่บางทีเขาอาจอยู่ที่ไหนสักแห่ง สักวันเมื่อก็อธแธมไม่ต้องการแบทแมนแล้ว ฉันคงได้เจอเขาอีก”

นั่นคือรางวัลที่บรูซสามารถละทิ้งหน้าที่ สัญลักษณ์แห่งความดี อัศวินผู้พิทักษ์ก็อธแธ็มได้อย่างแท้จริง การเป็นมนุษย์ที่ก้าวข้ามออกจากตราบาป หลุดพ้นจากความรู้สึกผิด กลายเป็นมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่ง เมื่อนั้นเขาอาจได้ใช้ชีวิตอันเปี่ยมสุขกับคนที่เขารัก เมื่อนั้นเขาจึงจำเป็นที่ต้องรีบหาตัวแทน ร่างทรงแห่งความดี ความดีที่เข้าสู่ระบบ ความดีที่ทุกคนยอมรับ ความดีที่เกิดจากมติของคนในสังคม อัศวินม้าขาว มิใช่อัศวินดำที่ทำตัวเหนือระบบ วันนั้นอาจกำลังมาถึง....




หมดยกหนึ่ง ยกใหม่เริ่มขึ้น
มาบัดนี้ ทุกอย่างดูเหมือนเป็นใจต่อการเดินหน้าพัฒนาคุณค่าความดีของก็อธแธม แก่นคิดของบรูซเริ่มผลิดบาน แก่นคิดที่เชื่อในศักยภาพความดีของมนุษย์ เส้นทางที่จะพาให้บรูซ หลุดออกจากตราบาปที่เขาสร้างไว้.....หากไม่ได้มีการก้าวเข้ามาใครบุคคลหนึ่งเสียก่อน.....

บุคคลที่เป็นบททดสอบครั้งสำคัญที่สุด....ของแบทแมน
บุคคลที่พิสูจน์ว่า อุดมการณ์ของราซ อัลกูล คือความจริงที่มิอาจหลีกเลี่ยงไปได้
บุคคลที่เปรียบเสมือนไม้คนขี้ตะกอนความชั่วในตัวมนุษย์ให้ฟุ้งกระจาย
บุคคลอันชื่นชอบต่อการเห็นโลกลุกเป็นไฟ
บุคคลอันมีนามว่า......Joker


จบภาค 1 ติดตามภาค 2 ได้ เร็วๆ นี้........

1 ความคิดเห็น: