กระทู้พันทิป
ประเด็นหรือแก่นของภาพยนตร์ไม่ว่าจะยุคไหน จะสัญชาติใด ก็คงหนีไม่พ้น
1.เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์ (ถึงแม้ตัวละครจะไม่ได้อยู่ในสถานะมนุษย์ แต่เชื่อเถอะว่า ทุกๆ อย่างจำเป็นต้องใช้ตรรกะของมนุษย์ในการเล่าเรื่อง)
2. มีสิ่งที่ทำให้เกิดการปะทะ หรือ ขัดแย้ง (ไม่ว่าจะมนุษย์ด้วยกันเอง มนุษย์กับธรรมชาติ มนุษย์กับสังคม ความคิด ฯลฯ) และผลลัพธ์สุดท้ายส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบางอย่างของตัวละครเหล่านั้น
ดังนั้นมันจึงเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงนัก ที่จะนำบุคคลเหนือมนุษย์ ซึ่งยิ่งใหญ่ขนาดมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง มารวมเข้าด้วยกันให้กลายเป็นหนัง 2 ชั่วโมงจบ (ลองนึกภาพของอะตอมวิ่งชนกันจนทำปฏิกิริยาวฟิวชั่นและกลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์)
ประเด็นคือ มันเป็นไปแล้ว มันสำเร็จไปแล้วและมันยอดเยี่ยมขนาดสร้างประวัติศาสตร์ใหม่แก่วงการ ผมจึงอดไม่ได้ที่จะทดลองปอกเปลือกภาพยนตร์เรื่องนี้ทีละชั้น เพื่อดูว่ามันมีวิธีการทำงานอย่างไร

ไม่มีใครชอบ Nick Fury
หากเปรียบตัวละครที่ไร้ความเป็นมนุษย์ที่สุดผมคงยกให้ตัวละครตัวนี้(มากกว่าโลกิเสียอีก) ลองมาดูเหตุผลกัน
1. นิค คนนี้นี่แหละที่ชอบเข้าไปยุ่งกับคนทุกคน ไล่เสาะหายอดมนุษย์ เปรียบได้กับผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง คอยสอดส่อง ติดตาม เพื่อสร้างความอุ่นใจแก่อเมริกา ว่าหากเกิดอะไรที่สร้างวิกฤติแก่ประเทศขึ้นมา เราสามารถพึ่งพาเขาได้ (คุ้นๆ ไหม)
2. นิค คนนี้นี่แหละ ที่ไปขุดสตีเฟน โรเจอร์มา ทั้งๆ ที่ควรจะนอนหลับไปพร้อมกับยุคสมัยของเขา การปลุกให้เขาตื่นจากความตาย และมารู้ความจริงเอาว่า ทั้งอดีตและคนรักต่างตายหรือไม่ก็เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว ถือเป็นฝันร้ายแก่กัปตันอเมริกาอย่างแท้จริง (มีฉากที่กัปตันอเมริการฝันร้าย เห็นภาพสงครามและตัวเขาที่ถูกขุดขึ้นจากน้ำแข็ง)
3.นิค คนนี้นี่แหละ ที่เก็บ Tesseract (Cosmic Cube)ไว้ โดยมีเหตุผล ว่าเพราะมันอาจสามารถสร้างพลังงานที่ไม่มีวันหมดได้ (คุ้นๆ ไหม) สุดท้ายก็กลายเป็นประตูสู่หายนะให้ Loki เข้ามายังโลก (มีประโยคหนึ่งที่โทนี่พูดว่า เขาก็เป็นหัวหอกในเรื่องพลังงานแนวทางใหม่ แต่ไม่เคยได้รับการติดต่อจาก Nick ขณะเดียวกัน Nick กลับพึ่งพา ดร.อิริก ซึ่งเป็นสหายเก่า)
4. นิค คนนี้นี่แหละ ที่สร้างอาวุธไว้เต็มโกดัง สำหรับไว้จัดการกับ Thor และ Hulk ซึ่งก็คือคนที่เรียกมาช่วย
จะเห็นว่า แก่นแท้ของตัว “นิค ฟูรี่” มักอยู่ในวังวนของ “ความกลัว”คือ กลัวนู่น กลัวนี่ไปหมด สร้างอาวุธยุโธปกรมากมายเพื่อสร้างความอุ่นใจแก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ แต่ความกลัวเหล่านี้แหละ ที่กลับมาย้อนหาตัวเองในภายหลัง
สัญญะของตัวละครตัวนี้ก็คงหนีไม่พ้น ทัศนะแบบอเมริกา นั่นเอง หรือการบริหารความกลัว การลดความเสี่ยงต่อวิกฤติต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านพลังงาน ปัญหาด้านความมั่นคง แต่สุดท้ายเหตุการณ์ 9/11 ก็เป็นผลสะท้อนจากการจัดการที่มากเกินสมดุล
นี่จึงเป็นเส้นทาง หรือเครื่องมือแรกที่จะพาเหล่ายอดมนุษย์ทั้งหลาย(ซึ่งจริงๆ ก็คือมนุษย์ธรรมดาซึ่งออกจะน่าสงสารด้วยซ้ำ) มาเดินเส้นทางเดียวกัน โดยใช้ทัศนะของการมองว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นเพียง “เครื่องมือชิ้นหนึ่ง” เท่านั้น
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ผมเรียกมันว่า “พลังด้านลบ” ในนำการนำเหล่าฮีโร่มาเจอกัน
อยู่เพราะเพื่อน
แต่โดยเนื้อแท้(จริงๆ)แล้ว เรากลับพบว่า สิ่งที่ยึดเหนี่ยวต่อคนทุกคนได้ มิใช่ตัว Nick Fury หรือ องค์กร Shield อย่างใด แต่หากเป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้นมีเพื่อนที่คอยยึดเหนี่ยวทางด้านความรู้สึกต่างหาก หากจับกรุ๊ปเราจะได้ตามนี้
เห็นคุณค่า
เอเจนซ์ ฟิว โคล์สัน กับ สตีเฟน โรเจอร์ (กัปตันอเมริกา)
บุคคลที่เห็นคุณค่า และชื่นชอบในความเป็นผู้นำของเขา ทำให้โรเจอร์มีกำลังใจในการปฏิบัติภารกิจช่วงสุดท้าย (ซึ่งก็คือโดน นิค ฟูรี่ตัวดีหลอกใช้อีกตามเคย ฮึๆ)
ภาษาเดียวกัน
โทนี่ สตาร์ค กับ บรูซ แบนเนอร์
ตัวละครผู้เป็นอัฉริยะด้านวิทยาศาสตร์ต่างโคจรมาพบกัน มีความคิดและภาษาที่เรียกได้ว่าทัดเทียมกัน ถึงทั้งคู่จะไม่ไว้ใน Shield แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีเพื่อนที่เข้าอกเข้าใจกัน ชื่นชมซึ่งกันและกัน มีคำสาป (Hulk และ ปฏิกรณ์อาร์ค)ในตัวเหมือนกัน จึงไม่แปลกที่เราจะเห็น Hulk รับ Iron Man ตอนที่ตกลงมา และกลับกันหลังสงคราม Tony ก็เอารถหรู มารับบรูซเป็นการตอบแทน
หากเรามองด้วยสายตาของโทนี่ จะพบว่า The Avengers นั้นมันต่ำต้อยและเล็กน้อยมากสำหรับเขา เพราะ
1. ตัวโทนี่เอง ไม่ชอบตกเป็นเครื่องมือหรือถูกใครบงการ ดูจากคำพูดเชิง หยอกล้อ Nick Fury ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องที่นิคตาบอดหรือชื่อกลุ่มก็ตาม การแฮคเข้าฐานระบบของ Shield หรือตอนที่นิค โทรโข่งบอกทุกคนว่า เอเจนซ์โคลสันตายแล้ว และก็โยนการ์ดกัปตัน โทนี่รีบเผ่นออกจากห้องประชุม ภาพถัดมาอีกทีจะเห็นตัวโทนี่เข้ามาอยู่ในห้องที่มีรอยเลือดของโคลสัน (โทนี่มาเช็คว่าเป็นอุบายของนิค ฟูรี่หรือเปล่า แล้วก็ใช่จริงๆ)
2. ที่โทนี่ยอมมารวมกลุ่มในตอนแรก เพราะเพพเพอร์ พอต ขอร้องให้มา (เท่านั้นจริงๆ) ซึ่งสุดท้ายเมื่อยุติสงคราม โทนี่ก็ได้อยู่กับหวานใจ ร่วมกันออกแบบตึกหลังใหม่อย่างมีความสุข
บุญคุณ
Natasha Romanoff (แมงมุมแม่ม่ายดำ) และ Clint Barton (ตาเหยี่ยว)
ไม่รู้หรอกว่า ความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองมีต่อ Nick Fury ต่อการเป็นนายจ้างอย่างไร แต่อย่างน้อยเราก็พอเห็นความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งใน 2 ตัวละครนี้ ซึ่งอยู่ในบทสนทนาตอนหนึ่งด้านการมีบุญคุณต่อกันและกัน ดูได้จากฉากที่ เอเจนซ์ โคลสัน โทรไปบอก Black Widow ขณะทำภารกิจว่า Barton แปรพักตร์ เพียงเท่านี้ก็เป็นเหตุผลมากพอที่จะนำ Black Widow กลับสู่ฐานได้แล้ว
ความรับผิดชอบ
ผมคิดว่า Thor และ Loki ถูกถอดความสัมพันธ์มาจาก Zeus และ Hades (อ้างอิงจาก Crash of the Titans) เกี่ยวกับปมปัญหาในครอบครัว Zeus รักในมนุษย์มาก (เหมือนกับที่ Thor รักในเจน ฟอสเตอร์ และ ดร.อิริก) แต่ Hades ซึ่งมิได้ถูกแสดงออกซึ่งความรักภายในครอบครัวและอิจฉาใน Zeus Hades แก้แค้นด้วยการปลดปล่อย Titans ออกมา (Loki ไปขอยืมกองทัพจาก Thanos แห่งดวงจันทร์ Titan นั่นเอง) ทำให้สิ่งที่ Thor เข้าร่วมทีม The Avengers นั้นเกิดขึ้นเพราะความรับผิดชอบที่ตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา มิใช่ตัว Nick Fury แต่อย่างใด
คานอำนาจ
แม้แต่ตัว Nick Fury เองก็ถูกสร้างคู่หูเพื่อลดอำนาจที่แข็งกร้าวลง นั่นคือ Maria Hill ผู้ที่สามารถคิดแย้ง เห็นต่าง (ซึ่งสุดท้ายก็สู้พี่นิคไม่ได้อยู่) เพื่อไม่ให้ Nick Fury บ้าอำนาจมากเกินไป
สิ่งนี้ผมเรียกว่าพลังด้านบวก +
และพลังด้านบวกมีอนุภาพมหาศาลที่จะยึดเหนี่ยวพวกเขาเหล่านั้นไว้
ดังจะเห็นได้ว่าสิ่งที่ The Avengers มา Assemble กันได้มิได้มาจากผู้นำหรือตังองค์กร หากแต่เป็นความรู้สึกสบายใจที่มีมิตร ที่สามารถคุยภาษาเดียวกัน เข้าใจหัวอกเดียวกันมากกว่า
บริหารพลัง แบบ ค้อน กรรไกร กระดาษ
ค้อน Thor ชนะ Hulk (ยกไม่ขึ้น)
ค้อน Thor แพ้ โล่กัปตัน
พลังสะกดจิต Loki ชนะ Hawkeye
พลังสะกดจิต Loki แพ้ โทนี่ผู้ไม่มีหัวใจ
Hulk ชนะ พลังพระเจ้า
เล่ห์กล Black Widow ชนะ Loki
พลังสายฟ้า Thor เพิ่มพลัง เกราะ Iron Man
หัวธนู Hawkeye ชนะ Loki
การบริหารนี้ทำให้รู้สึกว่า ไม่มีใครเก่งเกินกว่าใครจนเกินไป มันแก้กันไปแก้กันมา
อื่นๆ
ชุดเกราะ Mark VII เหมือนจะเอาเทคโนโลยีของจรวดเจอริโก้มาใช้ หวนรำลึกถึงภาค 1
หนังเลือกที่จะให้พลังของ Cosmic Cube ทำลายหน่วยงานภาคพื้น เพื่อพาทุกคนขึ้นเครื่องบินบรรทุกเครื่องบิน(งงมะ) หรือ Hellicarier เพื่อสร้างพื้นที่แบบปิด เป็นการบีบบังคับให้แต่ละคนต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และ บางสถานการณ์ เช่น การที่ใบพัดตัวหนึ่งถูกระเบิด แล้ว Tony กับ กัปตันอเมริการ่วมกันซ่อม ก็เป็นเหตุผลที่ดีที่จะสร้างเหตุการณ์ให้ทั้งสองร่วมมือกัน (หลังจากทะเลาะกันมา)
ผลลัพธ์ของการปะทะ และ การเรียนรู้
หนังทุกเรื่องเปรียบเหมือนการเดินทาง ต่างฟันฟ่าอุปสรรคมากมาย การได้เรียนรู้ในสิ่งที่ต่างไปจากเดิม เปลี่ยนคน(กลุ่ม)หนึ่ง ให้กลายเป็นอีกคน(กลุ่ม)หนึ่ง The Avengers ก็เช่นกัน
ฉากการกิน Shawarma ฉากสุดท้าย (ซึ่งไม่มี Nick Fury ร่วมอยู่ด้วย) ก็เป็นภาพท้ายที่แสดงผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงของเหล่าฮีโร่ทุกคน หลังได้ร่วมต่อสู้อย่างเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา (เสียดายที่พึ่งจะมาถ่ายกันก่อนฉายเพียงไม่กี่วัน)
ความใหญ่โตของฮีโร่แต่ละคนถูกทะลายลง ผลลัพธ์สุดท้ายของ Earth’s mightiest heroes เหลือเพียง “มิตรภาพ” เท่านั้นเอง
สรุป
The Avengers เป็นภาพยนตร์ชั้นดีที่ถูกปูเส้นทางมาอย่างปราณีต และมีทิศทางที่ชัดเจน ซึ่งยากมากกก ที่ภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งจะสามารถทำได้ การสร้างจักรวาลที่ยิ่งใหญ่เป็นของตัวเอง และควบคุมประสบการณ์ของแบรนด์ตัวเองได้สำเร็จ มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก
แต่การที่มันยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก คือการให้พื้นที่ของตัวละครที่ถูกแยกออกจากกัน แล้วมาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ภายในใจของตัวเอง
ผมจึงมองว่า The Avengers คือค่ายฤดูร้อนของเหล่าฮีโร่ หลังจากแต่ละคนไปผจญมาอย่างเหน็ดเหนื่อยด้วยเรื่องราวของตัวเอง หวังว่าค่ายฤดูร้อนหน้า เราอาจเจอสมาชิกใหม่ เปลี่ยนผู้คุมใหม่ เจอศัตรูใหม่ๆ สำหรับการลับฝีมือ และเสริมสร้างความเหนียวแน่นของมิตรภาพยิ่งๆ ขึ้นไป…
สวัสดีฉัน aM clinton nancy หลังจากที่ได้มีความสัมพันธ์กับแอนเดอร์สันมานานหลายปีแล้วเขาเลิกกับฉันฉันทำทุกอย่างเพื่อให้เขากลับมาได้ แต่ทั้งหมดก็ไร้ผลฉันต้องการให้เขากลับมามากเพราะความรักที่ฉันมีต่อเขา, ฉันขอร้องเขาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างฉันทำสัญญา แต่เขาปฏิเสธ ฉันอธิบายปัญหาของฉันกับเพื่อนของฉันและเธอบอกว่าฉันควรจะติดต่อล้อสะกดที่สามารถช่วยฉันโยนคาถาเพื่อนำเขากลับมา แต่ฉันเป็นประเภทที่ไม่เคยเชื่อในการสะกดฉันไม่มีทางเลือกกว่าที่จะลองฉัน ส่งคาถลลวงและเขาบอกผมว่าไม่มีปัญหาใด ๆ ที่ทุกอย่างจะเรียบร้อยก่อนสามวันที่อดีตของฉันจะกลับมาหาฉันก่อนสามวันเขาได้ให้การสะกดและในวันที่สองก็แปลกใจคือประมาณ 4 โมงเย็น อดีตของฉันเรียกฉันว่าฉันประหลาดใจมากฉันตอบสายและสิ่งที่เขาพูดก็คือเขาเสียใจมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการให้ฉันกลับไปเขาว่าเขารักฉันมาก ฉันมีความสุขมาก ๆ และไปหาเขานั่นคือสิ่งที่เราเริ่มใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันได้สัญญาว่าใครที่ฉันรู้ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ฉันก็จะช่วยคนดังกล่าวโดยการแนะนำให้เขาเป็นครูผู้ชำเถียงในการสะกดเฉพาะที่แท้จริงและทรงพลังที่ช่วยฉันด้วยปัญหาของตัวเอง อีเมล์: drogunduspellcaster@gmail.com คุณสามารถส่งอีเมลถึงเขาได้หากคุณต้องการความช่วยเหลือในความสัมพันธ์หรือกรณีอื่น ๆ
ตอบลบ1) รักคาถา
2) Lost Love Spells
3) การหย่าร้าง
4) เวทมนตร์สมรส
5) มัดสะกด
6) คาถา Breakup
7) ขับไล่คนที่ผ่านมา
8. ) คุณต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่งในการสะกดของสำนักงาน / สลากกินแบ่งของคุณ
9) ต้องการที่จะตอบสนองความรักของคุณ
ติดต่อคนที่ยิ่งใหญ่นี้หากคุณมีปัญหาใด ๆ สำหรับโซลูชันที่ยั่งยืน
ผ่าน DR ODOGBO34@GMAIL.COM