ความแตกต่างอันเด่นชัดของ Alien และ Prometheus อย่างหนึ่ง คือ Format หรือ วิวัฒนาการของภาพยนตร์ ย้อนกลับไปปี 1979 ภาพยนตร์ทั้งหมดยังใช้ฟิล์ม
35 มม. ในการถ่าย บริบทของ Alien ที่เล่นกับสถานที่ปิดทึบ
ความมืด ความอึดอัดเปี่ยมล้น สอดรับกันดีกับมิติความมืดที่ฉาบอยู่บนแผ่นฟิล์ม
มาบัดนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไปหนัง Hollywood สายหลักรวมถึงโรงหนังหันมาเลือกใช้กล้อง
Digital 3D ถ่ายและฉาย ภาพระดับ HD ขยายขอบเขตสายตาออกไปไกล
ความน่ากลัวในที่อับทึบบนจอคมกริบ ไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะสมอีกแล้ว
การกลับมาของภาคต้น Alien ก็เช่นกัน ภาพเปิดเรื่องเชิงสารคดี
สะท้อนแง่มุมใหม่ ซึ่งหากเป็น 33 ปีก่อน มิอาจทำได้
ตำนานแห่งสัตว์ประหลาดกลางอวกาศเริ่มถือกำเนิดอีกครา
และครั้งนี้มันไปไกลกว่าที่เคย...
บทความนี้เกิดขึ้นจากการได้เห็นบริบทต่างๆ
ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของภาพยนตร์ Prometheus พยามยามสื่อสารออกมาอย่างต่อเนื่อง
หนักหน่วง เมื่อนั้นผมจึงรำลึกได้ว่า Alien(1979) และ Prometheus(2012)
หรือ ภาพยนตร์แนวสยองขวัญสั่นประสาททั้งสองเรื่อง เป็นเพียงแค่ฉากหน้าหรือส่วนยอดของผู้เขาน้ำแข็งขนาดมหึมาที่จมอยู่เบื้องล่าง
วันนี้ผมจึงถือวิสาสะ ขอเป็นตัวแทนทุกท่าน ในการวิเคราะห์จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลที่ภาพยนตร์ทั้งสองภาค
(ห่างกัน 33 ปี) พยายามสื่อสาร หากถูกผิดอย่างไรก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
ถ้าพร้อมแล้ว ขอเชิญทุกท่านขึ้นยานได้เลย
หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมเคยอ่าน ชื่อ "ตลาด...ลัทธิใหม่ของศาสนา" บรรยายโดย เดวิดลอย สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง
มีใจความสำคัญว่า ก่อนที่ระบอบการตลาดจะเข้ามา
มนุษย์ใช้ชีวิตตามหลักคำสอนของลัทธิหรือศาสนาตามแต่บุคคลจะเลือกศรัทธา เพราะทุกลัทธิหรือศาสนาจะบอกกับเราไว้ด้วยกัน
2 ประการ ได้แก่ 1. "ความสุขที่แท้" คืออะไร 2. และเราควรใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อเข้าสู่
"ความสุข" นั้น
ความตายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทางที่เราจะก้าวผ่านไป เช่น
ตายแล้วไปอยู่กับพระเจ้า ตายแล้วอยู่บนสวรรค์ หรือเวียนว่ายในวัฏฏะกลับมาเกิดใหม่สะสมบุญเรื่อยไป
ซึ่งตรงข้ามกับลัทธิใหม่โดยสิ้นเชิง ลัทธิที่ชื่อว่า "บริโภคนิยม" อันผูกโยงมากับทุนนิยม
การค้าเสรี
แก่นของลัทธินี้ได้แก่ "ความสุข"
เกิดขึ้นง่ายๆ เพียงแค่เราบริโภค (ผัสสะทั้ง 5) หากพระคือผู้เผยแพร่ศาสนา
ผู้เผยแพร่ของลัทธินี้ก็ได้แก่นักโฆษณาทั้งหลาย
(โฆษณาทั้งหมดมักสะท้อนภาพของความสุขจากการบริโภคและการใช้บริการ) ซึ่ง ณ
ปัจจุบันได้ขยับขยายกินพื้นที่ครอบคลุมทุกหย่อมหญ้า บางครั้งก็หลอมรวมเข้ากับศาสนาที่มีอยู่เดิมจนแก่นแท้ได้เปลี่ยนแปลงไป
"ความตาย" น่ากลัวสำหรับลัทธินี้
เพราะเมื่อตายเราก็ไม่สามารถบริโภคได้อีก
หัวจักรสำคัญของลัทธินี้เกิดขึ้นพร้อมกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
ย้อนกลับไปหลายร้อยปีก่อนเมื่อมนุษย์รู้จักใช้เครื่องมือที่เรียกว่า
"วิทยาศาสตร์
ว่าด้วยชื่อยาน Prometheus
หากมองผิวเผิน "ชื่อ Prometheus" คงมีไว้เพื่อความหมายที่ดูเก๋ ตั้งแก่ยานซึ่งกำลังไปค้นหาจุดกำเนิดของมนุษย์
แต่เปล่าเลย แก่นแท้ของชื่อ Prometheus นี่แหละที่กว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมตั้งแต่
Alien (1979) จรด Prometheus (2012) เลยทีเดียว
"พรอมิธีเอิส (Prometheus) เป็นเทพไททันองค์หนึ่ง ที่มีความเฉลียวฉลาด เป็นผู้ขโมยไฟ จากเฮสเทีย
เทพีแห่งเตาไฟ ลงไปให้มนุษย์ จึงทำให้มนุษย์รู้จักใช้ไฟในการหุงหาอาหาร
และใช้เพื่อแสงสว่างจนสามารถสร้างอารยธรรมต่าง ๆ ได้ ทำให้ซุสโกรธ
และลงโทษพรอมิธีเอิสด้วยการขังไว้ในถ้ำ บนเทือกเขาคอเคซัส และมีอีกา
ยักษ์มาจิกกินตับ ของพรอมิธีเอิสทุกวัน โดยที่ไม่ตาย
และทุกคืนตับของพรอมิธีเอิสจะงอกใหม่ เพื่อให้อีกายักษ์จิกกินในวันรุ่งขึ้น
แต่สำหรับมนุษย์แล้ว
พรอมิธีเอิสถือว่าเป็นเทพที่กล้าหาญ และเป็นเพื่อนที่ดีต่อมนุษย์ จึงได้รับการยกย่องและนับถือ"
ความหมายของ "ไฟ" ก็คือ
"วิทยาศาสตร์" และไฟมีคุณสมบัติทั้ง "ให้แสงสว่าง" และ
"การเผาทำลาย"
ดังนั้นสายตาของ โพรมีเธียส กับ ซุส จึงมองต่างกัน โพรมีเธียส มองว่า "ไฟ" คือ
เครื่องมือในการพัฒนาชีวิตของมนุษย์ แต่ ซุส มองเห็นต่างว่า "ไฟ" นี่แหละที่จะเผาทำลายทั้งตัวมนุษย์เองรวมไปถึงพระเจ้าผู้สร้าง
วิทยาศาสตร์ก็เป็นเช่นนั้น ก่อนเกิดอารยธรรม
มนุษย์นับถือบูชาธรรมชาติ ทั้ง ดิน น้ำ ลม ไฟ ฝน ทุกอย่างๆ ล้วนอธิบายด้วยสิ่งที่อยู่เหนือกว่าความเข้าใจของตัวมนุษย์
(พระเจ้า) แต่เมื่อเครื่องมือที่ชื่อว่า "วิทยาศาสตร์" สามารถพิสูจน์ปรากฏการณ์เหล่านั้นได้ด้วยเหตุผลและการทดลองเชิงประจักษ์
แน่นอนความศรัทธาต่อ "ผู้เหนือกว่า" จึงอ่อนจางลงเป็นพลวัตร ตัวอย่างเช่น
เหตุการณ์ความขัดแย้งของศาสนจักรและนักวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 18 ได้เกิดขึ้น เมื่อวิทยาศาสตร์บอกเราได้ว่า
โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลอีกต่อไป พระเจ้าไม่สามารถสร้างโลกได้ใน 6 วัน
ดังนั้นแล้ววิทยาศาสตร์นี่แหละจะเป็นเครื่องมือใหม่ในการใช้ชีวิตของมนุษย์ วิทยาศาสตร์นี่แหละที่จะเป็นเครื่องมือที่ทำให้มนุษย์คือพระเจ้าเสียเอง
และ Alien ก็คือภาพยนตร์ที่สะท้อน
"ไฟ" ในแง่ "การเผาทำลาย" เมื่อเราใช้มันโดยไร้ ความรู้ +
ความเข้าใจ
วิทยาศาสตร์ + ทุน
"ทุนนิยม" เป็นระบบที่ว่าด้วยการใช้ทุนที่มีอยู่เดิม
(ไม่จำเป็นต้องเป็นตัวเงิน) ต่อยอด(ลงทุน) สินทรัพย์ต่อไปได้ไม่มีสิ้นสุด (และสูงสุด)
ตามแต่เครื่องมือที่ทุกคนยอมรับ(ตลาดเสรี) (http://th.wikipedia.org/wiki/ทุนนิยม)
การปฏิวัติอุตสาหกรรม (http://th.wikipedia.org/wiki/การปฏิวัติอุตสาหกรรม) เกิดขึ้นจากการบรรจบกันระหว่างวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี
(เครื่องจักรไอน้ำ, ถ่านหิน) และการลงทุนในศตวรรษที่ 18 ซึ่งมาพร้อมจากการล่าอาณานิคมของพ่อค้าอังกฤษ
ปัจจัยการผลิตจึงเป็นสิ่งสำคัญที่กำหนดกำไรและความมั่งคั่งของนายจ้าง แรงงานมนุษย์ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ให้การผลิตสูงกว่า
เร็วกว่า มากกว่าแรงงานมนุษย์ ตัวมนุษย์เองมีหน้าที่เหลือเพียงเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักร
ทำงานซ้ำๆ เดิมๆ ไปพร้อมกับเครื่องจักร เช่น ป้อนวัตถุดิบเข้าสู่สายงานการผลิต
"ตัวอย่าง"
สมศรีเป็นเจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลขององค์กรแห่งหนึ่ง
ทำงานนานร่วม 20 ปี ถึงแม้สมศรีจะใช้ชีวิตตลอด 8 ชั่วโมงอยู่กับคอมพิวเตอร์
แต่สมศรีก็รู้เพียงการใช้งานของโปรแกรมนั้น
และโปรแกรมนี้ก็ไม่เคยอัพเดตเลยตลอดชีวิตการทำงาน วันหนึ่งมีสิ่งแปลกปลอม (Bug) เข้าสู่ระบบถึงแม้จะเป็น Malware ไม่อันตรายแต่ด้วยความที่ไม่รู้
สมศรีก็แก้ไขปัญหาอย่างผิดพลาดแล้ว ผิดแล้วผิดอีก ข้อมูลใน Server ทั้งหมดของบริษัทค่อยๆ หายไปจนหมด บริษัทโดนฟ้องและต้องปิดตัวในที่สุด
นี่เป็นตัวอย่างของแก่นที่หนังสัตว์ประหลาดในอวกาศ ปี 1979 สะท้อนออกมา
........ภาพยนตร์ที่ชื่อ Alien
ยานอวกาศ Nostromo (มาจากชื่อหนังสือคลาสสิกของ
Joseph Conrad ว่าด้วย Nostromo ชายชาวอิตาลี่ซึ่งได้รับมรดกจากพ่อ
มุ่งแสวงหาความรุ่งเรื่องด้วยการทำธุรกิจเหมืองในอเมริกาใต้
แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงจากผลพวงของการปฏิวัติ) ยานขนแร่ขนาดยักษ์ อัดแน่นไปด้วยแร่กว่า
20 ล้านตัน เป้าหมายคือกลับโลก ลูกเรือ : 7 คน ยานเป็นของบริษัทเอกชนชื่อ
Wayland - Yutani (ได้แรงบันดาลใจจาก British Layland(อังกฤษ) + Toyota(ญี่ปุ่น) สะท้อนภาพอนาคตในยุคบรรษัทครองโลก)
หนังเปิดฉากด้วยข้อมูลของภารกิจ ยานบรรทุกแร่ขนาดอันใหญ่เกินจินตนา
ดูช่างขัดกันอย่างสิ้นเชิงกับจำนวนลูกเรือที่มีเพียง 7 คน
หนังวิพากษ์ถึงอนาคตของยุคอุตสาหกรรม(พาหนะขนถ่านหิน)
ที่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งอันเล็กจิ๋วภายใต้อิทธิพลของเครื่องจักรขนาดใหญ่ สุดโต่ง
สถาปัตยกรรมภายในยานมีแต่เหล็กและสายไฟ สร้างความน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่ว่าหากเกิดปัญหาอะไรเพียงเล็กน้อย
ก็ดูเหมือนว่ามนุษย์จะไม่สามารถต่อกรกับมันได้เลย
แนวคิดของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
มองว่ามนุษย์คือตัวปัญหาต่อระบบการผลิต มนุษย์เชื่องช้า กินพลังงานมาก
และอาจก่อการเมืองได้ในองค์กร ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดคือการใช้เทคโนโลยีเข้าจัดการทั้งหมด
ให้มนุษย์คิดน้อยที่สุด ทำงานน้อยที่สุด เพื่อลดต้นทุนและปัญหาให้มากที่สุดนั่นเอง
"Mother" คือสมองของยาน
เปรียบเสมือนประตูกั้นแห่งความรู้ (Information)
ที่ลูกเรือที่จะได้รับในการปฏิบัติภารกิจนั้น เป็นเครื่องสำหรับสร้างข้อจำกัด ตัดความสงสัยใคร่รู้
อันก่อให้เกิดการต่อต้านของมนุษย์ต่อระบบ(นายทุน)ในภายหลัง (แง่มุมนี้ถูกใช้ใน Moon
ของ Duncan Jones)
ลูกเรือถูกปลุกขึ้นโดย Mother ทั้งหมดรวมตัวกันที่ห้องอาหาร บทสนทนาแรกหลังการจำศีลคือ การขอขึ้นค่าโบนัส
สะท้อนยุคสมัยของ "ทุน" ที่คอยกำหนดชีวิตมนุษย์
ลูกเรือทุกคนเตรียมนำยานลงจอด แต่ก็ต้องประหลาดใจว่า
ยานยังไม่ถึงที่หมาย (โลก) หลังจากกัปตันเข้าไปสอบถามกับ Mother (ถ้าเป็นปัจจุบันคงชื่อ Siri) กลับได้คำตอบว่ามีภารกิจด่วนที่เข้ามาขัดภารกิจหลัก
นั่นคือบริษัทเผอิญไปค้นพบคลื่นสัญญาณบางอย่างบนดาว LV-426 ยาน
Nostromo ซึ่งอยู่ใกล้สุดจึงมิอาจปฏิเสธที่จะไม่ลงไปสำรวจได้
(สังเกตว่าในภาพล่าง Ash เข้ามาอยู่ในเฟรมระหว่างบทสนทนามีสีหน้าชวนไม่ไว้ใจ)
ช่างเครื่องแสดงท่าทีไม่พอใจกับงานที่งอกขึ้นมา
(แต่ค่าจ้างเท่าเดิม) แต่กัปตันก็ปิดปากสำเร็จด้วยประโยคที่ว่า
"หากฝ่าฝืนบริษัท ผลคือการอดได้ส่วนแบ่ง"
จะเห็นว่าอิทธิพลต่อบรรษัทกับมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ล้นเหลือ
ยานสำรวจลงจอดบนยานได้สำเร็จ และพบยานรูปทรงประหลาดคล้ายบูมเมอแรง
ของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาสายพันธุ์อื่นจอดนิ่งอยู่ (ในช่วงโปรดักชั่นของ Alien
ริดลีย์ได้แบ่งทีมออกแบบ เป็น 2 ทีม
ทีมหนึ่งออกแบบแต่สถาปัตยกรรมของมนุษย์อย่างเดียว
อีกทีมออกแบบแต่สถาปัตยกรรมของเอเลี่ยน (กีเกอร์) แยกขาดแนวคิดของทั้ง 2
เผ่าพันธุ์อย่างชัดเจน)
จุดนี้เป็นต้นไป
หนังเริ่มวิพากษ์ถึงขอบเขตของความรู้(ทางวิทยาศาสตร์)ที่พวกเราใช้อยู่
กับขอบเขตที่อยู่เหนือออกไปเกินความเข้าใจที่มนุษย์จะหยั่งถึง
ภายในยานมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่นอนตายอยู่ ตัวหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเครื่องจักรคล้ายปืน
มีรูทะลุกลางหน้าอก ภาพนี้ที่สะท้อนถึงความน่าประหวั่นสะพรึงจากการโดนเทคโนโลยีที่ตัวเองสร้างขึ้นกลับมาทำร้ายตัวเอง
ได้เป็นอย่างดี
ใต้ฐานมีห้องขนาดใหญ่แอบซ่อนอยู่
ภายในคล้ายกับฉางเก็บไข่ ด้วยความใคร่รู้ + ไม่รู้ จึงถูกสิ่งมีชีวิตต่างดาวโจมตี
ดูเหมือนริปลีย์จะเป็นคนเดียวที่มองเห็นถึงความอันตรายจาก
"ความไม่รู้" เธอยึดตามระเบียบการกักกันโรค
24 ชั่วโมง (ถึงสามารถให้เข้ามาในยานได้) แต่แล้ว Ash ก็ละเมิดกฎเข้ามา
Hack ระบบเปิดปิดประตู ปล่อยให้ลูกเรือที่ไปสำรวจกลับเข้ามาได้สำเร็จ
ฉากนี้สร้างความไม่น่าไว้ใจให้กับตัว Ash เป็นอย่างมาก
ด้วยความไม่รู้อีกเช่นเคยที่ทำให้ทุกอย่างแย่ขึ้นไปอีก
เมื่อ Ash ใช้เลเซอร์ตัดขา Facehugger ปรากฏว่าเลือดมีพิษขนาดกัดทะลุตัวยาน
Ash แอบมาทดลอง Facehugger อยู่คนเดียว ริปลีย์เห็นจึงเข้ามาสอบถาม ความเห็นของ Ash ดูเหมือนจะชื่นชมสิ่งมีชีวิตนี้มิใช่น้อย
ที่ว่ามันมีคุณสมบัติอันทนทานต่อความร้อนและสารเคมี
เพียงไม่นาน Facehugger ก็หลุดออก
ริปลีย์เห็นว่าไม่ควรประมาท ให้กำจัดทิ้งซะ แต่ Ash กลับลงความเห็นว่าควรเก็บไปวิจัยต่อที่โลก
เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ
เคนกลับมาอาการเป็นปกติ
ด้วยความไม่รู้อีกเช่นเคย ที่คิดว่าปัญหาทุกอย่างได้จบสิ้นแล้ว พวกเขาจึงกลับมานั่งรับประทานอาหารร่วมกันอีกครั้ง
ฉากช็อคโลกเกิดขึ้น สัตว์ต่างดาวตัวน้อยทะลุออกจากหน้าอกเคน หลุดเข้าสู่ระบบยาน
ด้วยความไม่รู้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่คิดว่าสัตว์ต่างดาวตัวน้อยคงสถานะร่างกายเท่าเดิมเสมอ
จึงประดิษฐ์เครื่องช็อตไฟฟ้าจากวัสดุเหลือใช้ และเปิดระบบตรวจจับอณูอากาศเพื่อบอกตำแหน่งของสัตว์ต่างดาวภายในยาน
สัญญาณเตือนดังขึ้น
สิ่งที่ทุกคนคิดว่าเป็นสัตว์ต่างดาวกลับกลายเป็นแมวเสีย เบรทเผลอปล่อยไปโดยที่ลืมว่ามันอาจไปกวนสัญญาณเดียวกับเอเลี่ยนในภายหลัง
จึงเดินออกตามคนเดียว หารู้ไม่ว่าสัตว์ต่างดาวตัวน้อยที่เคยพุ่งออกจากหน้าอก
มาบัดนี้มันได้เติบใหญ่เสียแล้ว
ฉากนี้สะท้อนถึงความล้มเหลวในการใช้เทคโนโลยีของมนุษย์
ที่คิดว่ามีประสิทธิภาพพอจะค้นหาเป้าหมายได้ แต่ผลลัพธ์กลับไม่สามารถแยกสิ่งมีชีวิตแต่ละประเภทออกจากกันได้
ว่าด้วยเรื่อง งานออกแบบของ Alien
สิ่งที่โดดเด่นมากในภาพยนตร์เรื่องนี้จนกลายเป็นโลโก้ของ
Alien ไปแล้ว คืองานออกแบบจากฝีพู่กันของ เอช อาร์ กีเกอร์
เอช อาร์ กีเกอร์ (H.R. Giger) เป็นศิลปินแนวเซอร์เรียล ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ผลงานส่วนใหญ่สะท้อนภาพของเนื้อหนังมนุษย์และเครื่องจักรที่สอดประสานสัมพันธ์
กึ่งมนุษย์กึ่งโลหะ ให้ความรู้สึกฝันร้าย ดำมืด น่ากลัว
ดังนั้นแล้วทั้งแนวคิดของ Alien เรื่องการวิพากษ์ยุคอุตสาหกรรม และงานออกแบบของสัตว์ร้ายที่สร้างขึ้นจากสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา(แต่กลับตายคาเทคโนโลยีที่ตนสร้างขึ้น)
ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่หลอมเอามนุษย์ เครื่องจักร เหล็ก สายไฟ เข้าเป็นส่วนประกอบหลัก
ถักทอเป็นสัตว์สงครามทรงอานุภาพ (ชื่ออย่างเป็นทางการคือ Biomechanical)
สะท้อนภาพผลิตผลของความล้มเหลวในความมนุษย์ที่จ้องแต่ทำลาย
ไร้ซึ่งหัวใจได้ดี อีกทั้งเลือดเป็นสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรม แข็งแรง ทนทาน
รวดเร็ว เป็นอุดมคติของสิ่งมีชีวิตที่เจ้าของโรงงานต่างอยากมีไว้ครอบครอง
กัปตันยาน เข้าไปถามกับ Mother อีกครั้ง เกี่ยวกับวิธีการกำจัดสัตว์ต่างดาว แต่คำตอบคือ
ไม่มีข้อมูลเพียงพอ
แม้เทคโนโลยีจะแยกตัวเอเลี่ยนได้
แต่สายตาของดัลลัส (กัปตันยาน)
กลับไม่สามารถแยกสัตว์ร้ายที่มีร่างกายเป็นโลหะและเครื่องจักร เฉกเช่นเดียวกับตัวยานได้
ความตายจึงเกิดขึ้นอีกครา (ฉากนี้หนังวิพากษ์ความเป็นตัวเอเลี่ยนที่พรางตัวในโรงงานอุตสาหกรรมได้อย่างแยบคาย)
เหมือนหมดหนทาง ริปลีย์จำต้องไปสอบถามกับ Mother
ความหวังสุดท้าย กลับเจอข้อมูลลับที่ Ash จะเข้าถึงได้แต่เพียงผู้เดียว
สร้างความสงสัยให้แก่ริปลีย์ยิ่งนัก รวมไปถึง "คำสั่งพิเศษ" ซึ่งคือ การนำตัวเอเลี่ยนกลับยังโลก
มีความสำคัญ (Priority) ขนาดสามารถฆ่าลูกเรือได้
หากทำให้ภารกิจนำสิ่งมีชีวิตกลับมาบริษัท ต้องประสบความล้มเหลว
ฉากนี้สะท้อนให้เห็นเลยว่า "ค่าของมนุษย์"
นั้นไม่มีอีกต่อไปในระบบงานอุตสาหกรรม ค่าของชีวิตของมนุษย์สามารถแลกได้กับเครื่องจักรทำลายล้างที่นายจ้างอยากมีไว้ครอบครอง
เมื่อริปลีย์ล่วงรู้ความสำคัญของภารกิจขนาดสามารถสละชีวิตลูกเรือได้
Ash จึงรีปมาเก็บ เพื่อไม่ให้ภารกิจเหลวไปเสียก่อน
ปาร์คเกอร์ เจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงเข้ามาช่วย เอาท่อเหล็กฟาด(ครั้งเดียว) เมื่อนั้นทุกคนจึงรู้ว่า
Ash เป็นแอนดรอยด์
นี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมาก
ว่าดรอยด์หรือหุ่นยนตร์ใน Alien มิใช่หุ่นยนตร์ที่สร้างไว้สำหรับช่วยเหลือหรือเป็นมิตรกับมนุษย์(ลูกจ้าง)
หากแต่สร้างไว้สำหรับลดความเสี่ยงต่อคำสั่งที่ลูกจ้างจะไม่ทำตาม
มันเป็นภาพเสียดสีที่เจ็บแสบที่สุด
ต่อการวิพากษ์ความเป็นมนุษย์ในระบบอุตสาหกรรม ด้วยคำพูดที่ว่า
"หากมนุษย์มีปัญหานัก ทำไมเราไม่สามารถมนุษย์ที่ไร้ความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิงขึ้นมาเลยล่ะ"
คำพูดนี้จึงกลายมาเป็น Ash (ขี้เถ้า,ไร้หัวใจ) เป็นมนุษย์ที่ได้รับคำสั่งและปฏิบัติตามนายจ้าง 100%
ไร้อคติ ไร้ปัญหา ไร้ข้อสงสัย รูปร่างที่เป็นมนุษย์สร้างขึ้นเพื่อ (เป็นสายลับ)
ไม่ให้ลูกจ้างเกิดข้อสงสัย หรือเกิดความอึดอัดที่มีตัวแทนจากนายจ้างตามประกบ
เป็นภาพสุดฝันร้ายของลูกจ้างทุกคน
อีกข้อสังเกตคือ ถึงแม้ Ash จะเป็นดรอยด์ แต่ก็เป็นดรอยด์คุณภาพต่ำ (ลดต้นทุน)
คำกล่าวนี้ของ Ash (ตามภาพ)
สะท้อนถึงสิ่งที่นายจ้างต้องการ "เครื่องจักรที่สมบูรณ์แบบ"
ซึ่งถูกปลูกฝังไว้ในหัว Ash
ริปลีย์ตัดสินใจเปิดระบบทำลายยาน
เพราะเป็นความหวังเดียวในการทำลายสัตว์จากนรกได้ แต่ระหว่างนี้เอเลี่ยนก็ยังตามฆ่าลูกเรือจนหมด
ริปลีย์ย้ายตัวเองมายานชูชีพได้สำเร็จ ทันเวลาการระเบิดยาน
ผู้ชมคงคิดว่าสงครามได้ยุติแล้ว
แต่ก็ต้องคิดใหม่ เมื่อเอเลียนที่นอนคุดคู้พลางตัวเป็นเนื้อเดียวกับเครื่องจักรยาน
ยื่นมืออัปลักษณ์ออกมา
นี่เป็นฉากที่ยอดเยี่ยมมากในการดึง ลักษณะสะท้อนแสงของหัวเอเลี่ยนมาใช้ในการขับเน้นความหมายเชิงสัญลักษณ์ต่ออสูรกายตัวนี้
หากผีเสื้อกำเนิดขึ้นในป่าและพลางตัวเป็นใบไม้ไม่ให้เหยื่อรู้ตัว
เอเลี่ยนก็คงกำเนิดมาจากโลกที่เต็มไปด้วยโลหะหนักและเครื่องจักร (ดาว Space
Jockey) ที่ร่างกายสามารถพลางตัวเป็นเนื้อเดียวได้เช่นเดียวกัน
อสูรกายที่เกิดขึ้นมาในโลกแห่งยุคอุตสาหกรรม....
สุดท้ายแล้วริปลีย์ก็สามารถฆ่าเอเลี่ยนได้สำเร็จ
นอนรอความหวังในห้วงอวกาศที่แสนกว้างใหญ่
ถึงแม้หนัง Alien จะหนีไม่พ้นสูตร
"ฆาตกรรมในห้องปิดตาย" บนห้วงอวกาศ (คำกล่าวของสปีลเบิร์ก หลังชมรอบปฐมทัศน์)
แต่ก็มิอาจปฏิเสธว่านี่คือหนังที่วิพากษ์ผลร้ายของยุค Modern ที่คมคาย ชัด ลึก แสบสันต์ เกี่ยวกับผลร้ายของเทคโนโลยีอันรายล้อมรอบตัวที่สร้างความง่อยเปลี้ยแก่มนุษย์
กลายเป็นคมหอกที่กลับมาทิ่มแทงผู้สร้างเสียเอง นวัตกรรมที่สร้างความประมาท คิดว่า
"เทคโนโลยี" หรือ "วิทยาศาสตร์" คือคำตอบสูงสุด
การตายของลูกเรือแท้จริงแล้วมิได้เกิดจากตัวเอเลี่ยนที่ฆ่าพวกเขา
หากแต่เป็น "ความไม่รู้"
ที่ยังดำรงอยู่อีกมากในจักรวาลแสนกว้างใหญ่เกินที่สติปัญญาของมนุษย์อันถูกแวดล้อมไปด้วยเทคโนโลยีและเครื่องจักรกลจะหยั่งถึง
พาให้ปัญหาเล็กๆ (ที่สามารถแก้ไขได้ตั้งแต่ต้น) ขยับขยายเป็นระเบิดเวลาในที่สุด
รวมถึงระบบทุนนิยมที่ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ให้เหลือเพียงหุ่นยนตร์ไร้จิตใจขึ้นตรงกับนายจ้าง
หรือไร้คุณค่าขนาดสามารถแลกชีวิตได้กับเครื่องจักรสังหารอันทรงประสิทธิภาพ
หากยังนึกภาพทั้งหมดไม่ออก ให้ลองรำลึกดูจากบทเรียนแห่งความประมาทในยุคสมัยที่แวดล้อมไปด้วยเครื่องจักรไอน้ำขนาดยักษ์
ที่ไม่มีผู้ใดนึกภาพการล่มสลายออก จนกระทั่งถูกภูเขาน้ำแข็งเล็กๆ เข้าชน ภาพต่อเรือที่ไม่มีวันจมถูกแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล
เรือที่ชื่อว่าไททานิค
หากนี่เป็นผลพวงจากการต่อยอดทางนวัตกรรมแรกสุดของมนุษย์
เช่น "ไฟ" ภาพยนตร์อย่าง Alien ก็คงเป็นความร้อนที่กลับมาเผาทำลายในตัวมนุษย์ผู้ถือนั่นเอง
ดังนั้นผมจึงไม่ค่อยชอบภาคต่อ อย่าง Aliens
ของ James Cameron เท่าใด
เพราะถึงแม้การกลับมาของเอเลียน(ส์) จะมาพร้อมสงครามอันหน้าตื่นเต้น
การเอาคืนของริปลีย์ ความรักของนู้ป (หนังคาเมรอนว่าถึงความรักเสมอ)
แต่คาเมรอนก็ได้ลืมแก่นการวิพากษ์ของวิทยาศาสตร์ไปเสียสิ้น แก่น ที่ทำให้ Alien
ยังคงเป็นหนังสยองขวัญ Classic ร่วมสมัยไม่เสื่อมคลาย
เมื่อ Prometheus ถูกสร้าง
ความคาดหวังที่อยากเห็นเส้นทางของ Alien กลับมาสู่รากเหง้าเดิมที่เคยเป็น
(หลังจากออกไปไกลเหลือเกิน) ก็เกิดขึ้น
และหลังจากรับชมเสร็จ................ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
: )
เปิดตำนานหน้าใหม่ Prometheus หนังวิพากษ์ "วิทยาศาสตร์" ที่ไปไกลกว่าที่เคย
Prometheus เปิดฉากด้วยภาพทางธรณีวิทยาอันสวยงามหยดย้อยไม่ต่างสารคดีอย่าง
National Geographic หรือภาพยนตร์สารคดีอย่าง Home แถมภาพทั้งหมดไม่ใช่ดาวที่ไหน แต่มันคือโลกสีฟ้ายุคก่อนประวัติศาสตร์ของเรานี่เอง.....และแน่นอน
ความคาดหวังที่จะเห็นยานอวกาศอันอับทึบ ในระบบ 3D
ดาวที่ปกคลุมไปด้วยความมืดเหมือนเรื่องราวก่อนหน้า ก็คงไม่ใช่เช่นกัน
ดังนั้น หาก Alien ว่าด้วย
"ความร้อน" ที่เผาไหม้ตัวเราจาก "ไฟ" Prometheus ก็คือ ผลร้ายจาก "แสงสว่าง" ที่ใช้ส่องนำเราไปพบกับคำตอบนั่นเอง
*โปสเตอร์สะท้อนความหมายของแก่นหนัง
"ว่าด้วย "ทุน" ในโลกของ Prometheus"
สิ่งที่น่าสนใจมากของ ยาน Prometheus คือยานนี้ไม่ใช่ยานขององค์การอวกาศสหรัฐอย่าง NASA
แต่มาจากแหล่งทุนของบริษัทเอกชน ชื่อ Wayland Corp
ซึ่งสอดคล้องกับข่าวเร็วๆ นี้เกี่ยวกับการให้สัมปทานอวกาศแก่เอกชน (http://www.siamintelligence.com/spacex-dragon-iss-private-spaceship/) หรือการที่ NASA ถูกตัดงบไป 20% (http://news.voicetv.co.th/global/34340.html)
ทำให้ Prometheus เป็นหนังสะท้อนภาพของประวัติศาสตร์
ณ ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี
หนำซ้ำ ถ้อยแถลงแห่งประวัติศาสตร์ ในงาน TED
(Technology, Entertainment and Design) เวทีแสดงผลงานทางเทคโนโลยี
นวัตกรรมความบันเทิง และการออกแบบ (http://en.wikipedia.org/wiki/TED_(conference)) ปี 2023 ด้วยวาทะคำกล่าว "มนุษย์กลายเป็นพระเจ้าเสียแล้ว"
ไม่ได้มาจากบุคคลจากรัฐบาล หรือองค์กรอิสระ แต่คือประธานบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่
อย่าง Peter Weyland
มาบัดนี้ "ทุน" ได้กลายมาเป็นผู้ถือครอง
"เครื่องมือ" ที่เรียกว่า "วิทยาศาสตร์" เบ็ดเสร็จ 100%
ไปเรียบร้อย
ดังนั้น Prometheus คือหนังที่ว่าด้วย
การรวมกันของสิ่ง 3 สิ่ง ได้แก่ วิทยาศาสตร์ + ทุน+ ศาสนา
ที่มาที่ไป
นักโบราณคดีกลุ่มหนึ่งได้พบกับหลักฐานหลายชิ้น(มีความน่าเชื่อถือ)
และให้ข้อมูลตรงกันว่ามีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่น(ร่างสูงใหญ่) เป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้น
(แต่ไม่ได้บอกว่าสร้างทำไม) แถมพวกเขาเหล่านั้นยังเขียนแผนที่บอกทางไปยังดาวผู้ให้กำเนิดอีกด้วย
ซึ่ง อลิซาเบธตีความว่ามันคือบัตรเชิญ
รูปแบบการวิจัยก็คล้ายคลึงกับวิธีการในสมัยนี้
ได้แก่ เมื่อมีสมติฐานหรือทฤษฎีสำหรับการพิสูจน์
ก็สามารถขอเงินจากแหล่งทุนต่อการพิสูจน์สมติฐานนั้นๆ หากผลงานเกิดเป็นรูปธรรม
ผลงานก็จะตกอยู่ภายใต้บริษัทผู้ให้ทุน หากรัฐบาลให้ทุน
ผลงานก็จับกลับคืนสู่ประชาชน เช่น งานวิจัย
"แทบเล็ตสร้างผลการเรียนที่ดีขึ้นแก่นักเรียน ชั้นป.1"
เพียงแต่งานวิจัยใน Prometheus นั้นเป็นคำถามแรกที่มนุษย์เฝ้าถามหา...คำถามที่เกิดขึ้นตั้งแต่มนุษย์ยังจำความได้...คำถามที่เป็นแรงกระตุ้นสู่การกำเนิดของศาสนาทั้งมวล....
คำถามใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ คำถามที่ว่า
"เราคือใคร ?"
แน่นอนว่าหากได้รับ "คำตอบ"
คำตอบนั้นจะเป็นสมบัติของ Weyland Crop.
เปรียบเทียบ
ทีนี้เราก็ได้เวลามาดูว่า
ความเหมือนและความแตกต่างระหว่าง องค์ประกอบของ Alien และ Prometheus
สำหรับการสอดรับแนวคิดระหว่างโลกของ "ลูกจ้าง" (Alien) กับ "นายทุน" (Prometheus) มีอะไรบ้าง ?
"ยาน"
หากยาน Nostromo คือรถสิบล้อของ
"ลูกจ้าง" ขนแร่ ยาน Prometheus ก็คือเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว
มีเปียโน โฮโลแกรมสร้างบรรยากาศ เครื่องอำนวยความสะดวกสบายเต็มรูปแบบ
ลูกเรือ
ลูกเรือในยาน Prometheus ส่วนหนึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์และส่วนหนึ่งเป็นลูกจ้างผู้ใช้แรงงานเกรดเดียวกับ
Alien หากแบ่งออกจะได้เป็น 3 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่
- นักวิทยาศาสตร์ ผู้กระหายในคำตอบ
ใช้ชีวิตทั้งหมดเพื่อเสาะหาว่าเราคือใคร ?
- นายทุน เดินทางมาเพื่อคุมงาน ซึ่งดูเหมือน Meredith
Vickers ก็ไม่ได้อยากเดินทางมาด้วยเลย
- ชนชั้นแรงงาน แบ่งออกไปเป็น 2 กลุ่มย่อยได้แก่
แรงงานชั้นดี เช่น กัปตันยาน และลูกมือ 2 คน พอมีความรู้ การศึกษา ต่างกับแรงงานชั้นล่าง
ทำงานเพื่อขายแรงงานอย่างเดียว มีสิ่งยึดเหนี่ยวคือเงิน
บทสนทนาบทหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่าง
ชาลีย์ (แฟนนางเอก) กับลูกจ้างของบริษัท ตอนรับประทานอาหาร ที่ว่า
"นายไม่ตื่นเต้นเลยเหรอที่จะได้พบกับคำตอบว่าเราคือใคร"
อีกฝ่ายตอบกลับอย่างเฉยชาว่า "นายคิดว่าคนที่ชินกับการนอนแช่แข็งตลอด 2
ปีจะสนใจกับเรื่องพวกนั้นเหรอ" สะท้อนให้เห็นว่า ระบบทุนได้กลืนกินลูกจ้างของ
Weyland ไปหมดสิ้นแล้ว
คำถามเชิงปรัชญานั้นมีเฉพาะนานทุนและกลุ่มปัญญาชนเท่านั้น
แอนดรอยด์
David ตาม Viral Video ถูกสร้างมาเพื่อเป็นเพื่อนกับมนุษย์ให้มากที่สุด
มีอารมณ์ มีความรัก มีการเรียนรู้ แต่หนังกลับสร้างความงุนงงสับสนเป็นอย่างมาก
ที่ให้บุคลิกของ David ดูเย็นชา แข็งกร้าว ไม่ต่างจาก Ash
และพฤติกรรมที่ชวนไม่น่าไว้ใจ เช่น การวางยา
บทสนทนาระหว่างลูกสาวปีเตอร์ เวย์แลนด์
ตัวละครนี้ เปรียบเสมือนคลังปัญญาที่ทะลุขอบเขต
"ความไม่รู้" ของมนุษย์ออกไป ทุ่นแรง และเติมเต็มความด้อยปัญญาของมนุษย์ที่มิอาจไขปริศนาได้
สิ่งเดียวที่ David ไม่มีคือ ความกระหายต่อคำตอบ เพราะ David
ไม่ใช่มนุษย์
ฉะนั้นจึงต้องนำกลุ่มนักวิทยาศาสตร์แรกซึ่งคนผมปริศนาขึ้นยานมาด้วย
เพื่อสร้างแรงผลักดันที่ David ไม่มี
วิกฤติ
หนังเดินเรื่องด้วยเส้นทางที่ราบเรียบ แบบมุมมองเชิงสารคดีที่ประกบติดกับทีมวิจัย
ใช้ภาพกล้องของชุดอวกาศเป็นบางครั้ง สร้างสภาวะสมจริงขึ้นตลอดการเดินทางเพื่อเสาะหาปริศนาทางโบราณคดี
จนกระทั่ง 30 นาทีแรกหมดไป บรรยากาศของหนังสยองขวัญก็เริ่มขึ้น
วิกฤติเกิดขึ้นเมื่อ ลูกเรือชั้นแรงงาน 2 นาย
ซึ่งมีแต่ภาวะแห่ง "ความไม่รู้" ถูก Face Hugger Junior โจมตี บวกกับการทดลองของ David ที่ใช้เชื้ออินทรีย์สารที่พบในยาน
Space Jockey กับร่างกายของชาลี
(ซึ่งฉากนี้ได้สร้างความงุนงง จนถึงช่วงเฉลยตอนท้าย)
นักวิทยาศาสตร์บนยานสุดท้ายก็ตกเป็นเหยื่อล่อของนายทุน
(Peter Weyland) ใช้ความกระหายต่อคำตอบมาเป็นหนูทดลองสำหรับเดวิด
เดวิดถามว่า "พวกคุณก็คือพระเจ้าของผม
คุณไม่คิดหรือว่าบางทีพระเจ้าของพวกคุณก็อาจมีท่าทีเฉยชาต่อการดำรงอยู่ของคุณไม่ต่างจากตัวผมเช่นกัน
?" เป็นคำถามที่คล้ายกับการตบหน้าชาลีฉาดใหญ่
ทำให้เกิดอารมณ์โมโห
"ผมไม่รู้หรอก ผมเพียงต้องการคำตอบ"
เดวิดจึงถามหยั่งว่า "คุณจะยอมลงทุนแค่ไหน
ที่จะได้รับคำตอบนั้น"
ชาลีตอบกลับว่า "สุดๆ ไปเลย"
นั่นจึงทำให้ David ตัดสินใจที่จะใช้เชื้ออินทรีย์ทดลองกับชาลี
คำตอบที่แรกมาด้วยชีวิต
ฉากนี้สะท้อนอะไรหลายอย่าง
ทั้งความกระหายต่อคำตอบของมนุษย์จนกลับกลายมาเป็นอาวุธที่ฆ่าตัวเขาในภายหลัง
รวมทั้งมุมมองเชิงเปรียบเทียบระหว่าง มนุษย์กับดรอยด์และพระเจ้าผู้สร้างกับตัวมนุษย์เอง
ว่าบางทีอาจไม่แตกต่างกัน
หนังยังคงยึดแก่นเดิม เรื่องการวิพากษ์ขอบเขตของ
"วิทยาศาสตร์" ที่ไม่สามารถเข้าถึงความรู้อันดำมืดอีกมากมายในจักรวาลเช่นเคย
อย่างการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นหัว Space Jockey จนระเบิด
หรือการตายของชาลี และลูกเรือที่โดนสิ่งมีชีวิตต่างดาวภายในยาน Space
Jockey ฆ่าตายเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังวิพากษ์เรื่อง ทุน
ที่สามารถแลกกับชีวิตมนุษย์สำหรับคำตอบของ "ยาอายุวัฒนะ"
เครื่องมือที่จะต่อชีวิตสำหรับการบริโภคให้ยาวนานขึ้น เฉกเช่นเดียวกับ Alien
ดังนั้นผมจึงชอบมากที่ Alien ใน Prometheus มิใช่สายพันธุ์เดียวกับ Xenomorph
หรือรูปแบบกลไกการดำรงชีพที่ Comicพยายามหาคำอธิบาย
เพราะหากตัว Alien สามารถหาคำอธิบายได้ มันก็ไม่ใช่
"ความรู้อันดำมืดในจักรวาล" ที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้อีกต่อไป
อีกสิ่งหนึ่ง ผมคิดว่าสารอินทรีย์ที่เป็นวัตถุดิบในการสร้างสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์ในช่วงต้น
และเป็นวัตถุดิบเดียวกับการแพร่พันธุ์ผ่านร่างกายของอลิซาเบธ พันธุ์เป็นตัว Alien
ในช่วงท้าย คือนามธรรมของคำว่า "วิวัฒนาการ" หรือ
"การปรับตัวอย่างไร้รูปแบบ"
ที่ทำให้เราไม่สามารถคาดเดารูปแบบของเอเลี่ยน และธรรมชาติการดำรงชีพของมัน
เทคโนโลยีการผ่าตัดอัตโนมัติที่ Meredith
กล่าวถึงว่าโคตรจะแพง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถผ่าตัดมดลูก
เพราะไม่ได้ออกแบบสำหรับเพศหญิง
ก็สะท้อนภาพของความล้มเหลวต่อเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ดี
ตัวเดวิด
ยังคงเป็นตัวแทนของนายทุนสำหรับการควบคุม ค้นหา ทดลอง ชนชั้นแรงงาน + กลุ่มปัญญาชน
สำหรับวัตถุประสงค์บางอย่างเช่นเดียวกับ Ash (ถึงแม้ David จะถูกสร้างขึ้นให้มีความรัก อารมณ์เช่นเดียวกับมนุษย์
แต่จุดนี้ก็สลายไปพร้อมกับความต้องการของนายทุนที่เข้ามาครอบงำเต็มขั้น)
แต่สิ่งที่ไปไกลกว่าเดิมของ Prometheus คือการตั้งคำถามว่า "ถ้าพระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ ไม่ใช่คุณลุงใจดี
ที่มอบความยุติธรรมให้แก่ทุกๆ คน หากแต่เป็นอสูรยักษ์ผิวเผือกผู้สร้างสิ่งมีชีวิตเจ้าของเดียวกับสัตว์นรกซึ่งเคยไล่ฆ่าทุกคนในยาน
Nostromo ล่ะ เรายังอยากได้คำตอบนี้อยู่อีกหรือไม่ ?"
และ Promotheus คือหนังที่ว่าด้วยผลร้ายของแสง
"ไฟ"
ที่ส่องสว่างมากจนล่วงไปเห็นภาพอันอัปลักษณ์ซึ่งเคยหลบซ่อนในซอกหลืบ และ
"วิทยาศาสตร์" ก็ได้นำมันออกมา ให้ทุกคนประจักษ์
ความเจ็บปวดนั้นเทียบเท่ากับ แรงตบจากฝ่ามือของ Space
Jockey เข้ากลางใบหน้าเลยทีเดียว.......
แถมยังต้องมาพบคำตอบอันแสนจบปวดด้วยว่า
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดที่พยายามเฝ้าหาคำตอบ
คำตอบที่สามารถเติมเต็มช่องว่างของคำถามของมนุษย์ทุกคนว่า "เราเกิดมาทำไม ?"
สุดท้ายก็เป็นได้แค่เครื่องมือและหนูทดลองของนายทุน
ในการค้นหายาที่ขยายเวลาในการใช้ชีวิตสำหรับการบริโภคมากขึ้น
ทุกคนล้วนสูญเสีย.....
วาทะสำคัญที่ Prometheus
ใช้ใบ้ผู้ชมตลอดการเดินทาง ทั้งจาก Clip ของ Peter
Weyland เอง หรือฉากที่เดวิดฝึกพูดจากภาพยนตร์คลาสสิกชื่อดัง Lawrence
of Arabia ว่า "ถึงแม้ไฟจะร้อน
แต่เราก็อย่าไปคิดว่ามันร้อนสิ"
สิ่งที่ผมคิดว่า Prometheus และ Alien คือหนังที่ดูได้เรื่อยๆ
เพราะปลายทางของทั้ง 2 เรื่องนั้นไร้บทสรุป มีเพียงประตูที่เปิดอ้าไว้ให้ทุกๆ
คนได้กลับไปคิดต่อยอด และตั้งคำถามกับหลายๆ สิ่งที่เกิดขึ้น ใครผิด ใครถูก
สิ่งที่บานปลายของทั้ง 2 เหตุการณ์นั้นเกิดจากอะไร แถมตัวละครก็ยังคงเดินทางต่อไป ล่องลอยไร้ซึ่งความหวัง
ริปลีย์นอนรอท่ามกลาง จักรวาล เฝ้าหาถึงบ้าน....
อลิซาเบธ เดินทางต่อไป เฝ้าหาคำตอบที่ว่า
"เหตุใดพวกเขาจึงต้องการฆ่าพวกเรา" เมื่อได้รับคำตอบหนึ่งมา
ย่อมเกิดคำถามใหม่ขึ้นเสมอ เสมือนถ้วยที่ไร้ก้น
เดวิด กลับคืนสภาพเป็นดรอยด์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นมนุษย์อีกครั้ง
และอาสาทำหน้าที่เป็น "เพื่อน" รวมเดินทางสำหรับการค้นหาคำตอบชิ้นใหม่ "ระบบทุน"
ที่เคยครอบงำเดวิดได้หลุดสลายไปเสียแล้ว เหลือเพียงภาพความฝันที่เดวิด
เฝ้าดูอลิซาเบธยามหลับมาตลอดการเดินทาง คำถามที่ว่า "เหตุใดพระเจ้าของมนุษย์จึงมีหลายองค์
เหตุใดเราจึงตายแตกต่างกัน" กลายเป็นพลังขับ
ให้เดวิดร่วมเดินทางไปกับอลิซาเบธ แม้จะเพียงแค่หัวก็ตาม....
ทิ้งท้าย
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่า ทั้ง Alien และ Prometheus ได้รับอิทธิพลมาจาก 2001 : A
Space Odyssey ไม่มากก็น้อย ทั้งในแง่ของการลำดับเรื่อง
แง่มุมเกี่ยวกับพระเจ้ามอบความเรืองปัญญาให้กับสิ่งมีชีวิต
และทิ้งปริศนาให้พวกเข้าได้กลับไปหาผู้ให้กำเนิด
หรือประเด็นด้านการเทคโนโลยีที่มีผลต่อชีวิตมนุษย์ : ดรอยด์ HALL
9001 ที่ทำงานผิดปกติไล่ฆ่าลูกเรือทิ้งทีละคนสองคน (เสริม : อาเธอร์ ซี คลาก (Arthur C. Clarke) ใช้ 2001 ฯ
สะท้อนแก่นแนวคิดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู (อาเธอร์ ซี คลาก
เสียชีวิตที่ประเทศศรีลังกา) เรื่อง อัตมัน - ปรมาตมัน
ที่ว่าเมื่อร่างกายดับสลายแล้วก็จะไปรวมกัน ณ สถานที่ศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณ
หรือเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล)
หากแต่สิ่งที่ทำให้ Prometheus โดดเด่น มีความเฉพาะตัว ไม่เหมือนใคร คือการเลือกหยิบใช้วัตถุดิบเดิมอันแข็งแรงมาสานต่อเรื่องราว
ขยายภาพฝันร้าย (ของกีเกอร์) ให้ใหญ่โตขึ้น มืดขึ้น พัฒนางานวิพากษ์ที่ไกลขึ้น
กลายมาเป็นภาคต้นกำเนิดที่เต็มเปี่ยมไปด้วย DNA ของ Alien
เมื่อ 33 ปีก่อน ได้อย่างน่าภาคภูมินั่นเอง....
ขอขอบคุณ
นิตยสาร FILMAX ฉบับที่ 59
ประจำเดือนพฤษภาคม สำหรับข้อมูลเชิงลึก
หนังสือ ตลาด ลิทธิใหม่ของศาสนา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น